เมื่อกรุงหงสาวดีของพม่าเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ พระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ พระเจ้านันทบุเรง ขึ้นเป็น กษัตริย์ สืบต่อมา ทางพม่า ได้แจ้งข่าวการ เปลี่ยนรัชกาลไปยังประเทศราช โดยให้ผู้ปกครองประเทศราช ไปเฝ้า ตาม ราชประเพณี ในครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้โปรดให้พระนเรศวร ราชโอรสเสด็จขึ้น ไปแทน พระองค์ เสด็จถึงเมืองแครง บังเอิญทรงทราบ ถึงแผนการ ของพม่า ซึ่งคิดประทุษร้าย ต่อพระองค์จากบุคคล สำคัญ ทางมอญ ที่สนิทสนมได้ลอบมาทูลก่อนที่จะถึงเมืองพม่า ด้วยเหตุนี้พระนเรศวร จึงทรงถือโอกาส ประกาศ อิสรภาพ ณ เมืองแครง ในปี พ.ศ. 2127 แยกราชอาณาจักรศรีอยุธยาออกเป็นอิสรภาพจากพม่า แล้วจึงยกทัพ ข้าม แม่น้ำสะโตง ไปจนใกล้จะถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบข่าวว่า พระเจ้าหงสาวดีได้ รบพุ่งมีชัยชนะ ได้เมืองอังวะ แล้ว จวนใกล้จะยกทัพ กลับคืนพระนคร พระนเรศวร ทรงเห็นว่าการจะตีเมืองหงสาวดีในครั้งนี้คงยังไม่ได้ จึงให้ กองทัพแยกย้ายกัน ไปบอกครัวไทยที่พม่า กวาดต้อนเอา ไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาให้อพยพกลับ ได้ ครอบครัว กลับ มาตุภูมิเดิมถึง 10,000 เศษ ฝ่ายพระมหาอุปราช ได้ทราบข่าว จึงยกมาเป็นทัพหลวง ยกติดตามพระนเรศวรมา โดยให้สุรกรรมาเป็นกองทัพหน้า ครั้นกองหน้ามาถึงแม่น้ำสะโตง เมื่อพระนเรศวร ยกทัพมาข้ามฟากมา ได้แล้ว จึงยิงต่อสู้กันอยู่ที่ริมแม่น้ำ พระนเรศวรทรงยิงพระแสงปืนกระบอกหนึ่งยาว 9 คืบ ถูกสุรกรรมา นายทัพหน้า ของข้าศึกตายอยู่กับคอช้าง พวกรี้พลเห็น นายทัพตายก็ครั่นคร้ามเลิกทัพกลับไป พระแสงปืนที่พระนเรศวรยิงถูกสุรกรรมาตายนั้น ได้มีนามปรากฏว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" นับเป็น พระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค สำหรับแผ่นดินสืบมาตราบ จนกาล ปัจจุบันนี้
ครั้นถึงเดือนพฤศจิกายน วันอาทิตย์ ขึ้น 9 ค่ำ พ.ศ. 2129 พระเจ้านันทบุเรงได้เสด็จยาตราทัพ ออกจาก กรุงหงสาวดี เพื่อยกมาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระนเรศวรทรงทราบว่าพม่ายกมาครั้งนี้เป็นทัพใหญ่ จึงให้รวบรวม เสบียง อาหาร และไพร่พลจาก หัวเมืองเข้าพระนคร แม้กองทัพใหญ่ฝ่ายพม่า จะโจมตีพระนครเป็นหลายครั้ง ก็ไม่สำเร็จ จึงตั้งล้อมกรุงไว้เป็นเวลา 4 เดือน เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเอาชนะไทยได้ จึงยกทัพกลับใน เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2130 วันจันทร์ เดือนยี่ แรมสองค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จ พระเอกาทศรถ ทรงจัดเตรียมกองทัพตีพม่าที่ยกมาใหม่แตกหนี ขณะนั้นเองช้างพระที่นั่ง ของสมเด็จพระนเรศวร ชื่อ เจ้าพระยาไชยานุภาพ กับช้างของสมเด็จพระเอกาทศรถชื่อพระยาปราบไตรจักร เป็นช้างตกมัน ได้ไล่ตาม ข้าศึก ไปทำให้กองทหารไทยไล่ตามไม่ทัน มีแต่จัตุรงคบาท และพวกทหารรักษาพระองค์เท่านั้นที่ติดตามไปทัน เมื่อพระนเรศวรทอดพระเนตร เห็นพระมหาอุปราชทรงพระคชธาร อยู่ในร่มไม้กับเหล่าท้าวพระยา จึงทราบว่า ได้ถลำ เข้ามาจนถึงกลางกองทัพปัจจามิตรแล้ว แต่พระองค์ทรง มีสติมั่นไม่หวั่นไหว จึงไสช้างเข้าไปใกล้แล้วตรัส ไปโดยฐานคุ้นเคยกันมาก่อนทั้งในวัยยเยาว์ และวัยเติบใหญ่ว่า "เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม ขอเชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้าที่ จะชนช้างอย่างเราไม่มีอีกแล้ว"
ด้วยความมีขัตติยมานะ พระมหาอุปราชาจึงไสช้าง พลายพัธกอ ออกมาชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพ ซึ่งกำลังตกมัน เมื่อเห็นข้าศึกตรงออกมาท้าทายก็โถมแทงทันทีไม่ยับยั้งเลยเสียที พลายพัธกออยู่ด้านล่างรุน เอาเจ้าพระยาไชยานุภาพเบน จะขวงาตัว พระมหาอุปราชาได้ทีฟันด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวร เบี่ยงพระองค์หลบทัน ถูกแต่พระมาลาหนังขาคลิไป พอดีกับเจ้าพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุด แล้วกลับได้ล่าง แบกรุนพลายพัธกอ หันเบนไปบ้าง สมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระมหาอุปราชา ที่อังสะขวา (ไหล่ขวา)ขาด ซบสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้างศึก ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ชนช้างกับ เจ้าเมืองจาปาโรและฟันเจ้าเมืองจาปาโรคอขาดตายคาคอช้างเช่นกัน ซึ่งฝ่ายกรุงหงสาวดีก็เลิกทัพกลับไป จากเหตุการณ์การทำสงครามยุทธหัตถีในครั้งนั้น ซึ่งตรงกับวันที่ 25 มกราคม 2135 จึงถือเอาวันที่ 25 มกราคมของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย เพื่อระลึกถึงความภาคภูมิใจในวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ และความสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเสียสละทุกอย่างและความสามารถ ของวีรบุรุษและกองทัพไทยในครั้งนั้น
.....Top